ตลกตรงไหน ทันที่เห็นคลิปเด็กนักเรียนกำลังแบกกระเป๋านักเรียนใบโตเพื่อเดินทางไปโรงเรียน ทำให้อดที่จะนำเนื้อหาข่าวในส่วนนี้มาวิเคราะห์กันไม่ได้เลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษาไทย เด็กตัวเล็กขนาดนี้ ต้องรับผิดชอบแบกความรู้ถึงขนาดนี้เอาไว้บนหลังเชียวหรือ? สำหรับเนื้อหา เป็นมาอย่างไร ? ทางเว็บได้รวบรวมเอาไว้แล้วค่ะ
รายละเอียด
ลักษณะคลิปที่เห็น ถือว่าเป็นดราม่าคลิปเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะทันทีที่คลิปดังกล่าวกระจายบนสื่อสังคมออนไลน์ มีแต่คนตำหนิการศึกษาไทยไปทั่ว ในส่วนของที่มาความดราม่า เกิดจากผู้แชร์รายหนึ่งแชร์คลิปวีดีโอเด็กนักเรียนหญิงพยายามแบกกระเป๋าเดินเข้าโรงเรียนอย่างทุลักทุเลพร้อมโพสต์ข้อความกำกับว่า “น่าสงสารน้องเค้า 555”
ข้อความนี้นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกไม่พอใจทั้งในตัวผู้แชร์คลิปวีดีโอตัวจริงว่านี่มันไม่ใช่เรื่องตลก กระเป๋าหนักขนาดนี้ส่งผลเสียต่อกระดูกสันหลังด้วยซ้ำ ในขณะที่บางราย แสดงความคิดเห็นในเชิงลบต่อระบบการศึกษาไทยว่าค่อนข้างห่วย ไม่รู้จักปรับปรุงและพัฒนา รวมถึงว่ากล่าวโรงเรียนบางแห่งที่ไม่อนุญาติให้วางหนังสือบางส่วนไว้ที่โต๊ะภายหลังเลิกเรียน
ตลกตรงไหน วิเคราะห์ข่าว
ต่อคลิปวีดีโอดังกล่าวที่เห็นจนกระทั่งผู้สื่อข่าวหลายช่องนำมาออกอากาศ กำลังสะท้อนให้เห็นว่า ต่อให้โลกจะมีการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทว่า การศึกษาไทยก็ยังคงย่ำอยู่กับที่ค่ะ เพราะฉะนั้น ภาพนักเรียนแบกกระเป๋าใบโตไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคนี้ ทว่า มีมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนที่ผู้เขียนยังเป็นนักเรียน ก็ต้องแบกสารพัดหนังสือซึ่ง ณ ขณะนั้น ก็รู้สึกว่า เยอะแล้วนะคะ
ทว่า ปัจจุบัน จากการติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของวงการศึกษา ดูเหมือน แนวคิดเร่งเรียนสำหรับเด็กรุ่นใหม่ได้ถูกนำมาใช้หลายปีแล้วโดยเฉพาะโรงเรียนระดับประถมที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย มักใช้ระบบเร่งเรียนให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่ช่วงวัยอนุบาลที่บังคับว่า ต้องอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ระดับอนุบาล ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องเรียนเสริมหลังเลิกเรียนค่ะ และครูผู้สอนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นครูของโรงเรียนนั้น ๆ และเหนือสิ่งอื่นใดนั้น บางโรงเรียนบังคับไปเลยว่า หลังเลิกเรียน ต้องเรียนพิเศษพร้อมการันตีไปพร้อมกันว่า สามารถสอบติดโรงเรียนดังระดับมัธยมค่ะ
ไรเตอร์เคยคิดสงสัย การที่เด็กต้องมาเรียนเสริม สาเหตุเกิดจาก ครูผู้สอน ระหว่างเรียนในคาบเรียนปกติ ได้สอนเต็มที่หรือเปล่า? หรือกั๊กไว้ให้เด็กเรียนแค่นั้น แล้วมาเพิ่มตอนเรียนพิเศษ ถ้าเป็นแบบนี้ ก็เหมือนกับว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการศึกษาต่างได้ผลประโยชน์จากการที่เด็กนักเรียนต้องมาแบกสารพัดความรู้ไว้ในกระเป๋าจากการที่สถานศึกษานั้น ๆ บังคับให้นักเรียนเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ซึ่งถ้าครูผู้สอนมีความตั้งใจสอนตั้งแต่ในคาบเรียน ก็คงไม่จำเป็นต้องมาเรียนเสริมกันนะคะ
ในกรณีเด็กนักเรียนแบกกระเป๋าหนัก กำลังชี้วัดอนาคตการศึกษาไทยว่าไม่ได้พัฒนาก้าวหน้าแต่อย่างใดค่ะ ตรงกันข้าม มีแต่จะเร่งเรียน เร่งแข่งขัน จนเกิดสังคม ใครดีใครได้ ใครมีต้นทุนดีในการส่งเสริมเรื่องการศึกษา คนนั้นชนะ แล้วแบบนี้ ลูกตาสีตาสาจะทำอย่างไร ? พวกเขาไม่มีต้นทุนพอที่จะเรียนเสริมย่อมย่ำอยู่กับที่จนเกิดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมากยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต แล้วแบบนี้ ไทยเราจะพัฒนาหรือคะ
ตลกตรงไหน แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องตลกนะคะ เพราะกำลังบอกเราได้ว่า อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่การศึกษาไทยนั้นยังคงย่ำอยู่กับที่ไม่พัฒนาไปไหน ย่อมมีกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีต้นทุนในชีวิต พวกเขาจะไม่มีโอกาสที่จะได้รับการศึกษาดี ๆ และสูง ๆ นับวันมีแต่จะริบหรี่ไร้ซึ่งความหวังด้วยซ้ำ กระทั่งส่งผลกระทบไปทั่วหย่อมหญ้าเมื่อช่องว่างทางสังคมนั้น มีแต่จะขยายตัวขึ้นค่ะ
เครดิตภาพ
บทความที่อาจสนใจ ร้านใช้น้ำมันมะกอก 2000 เมื่อราคานั้นแพงเกินจะรับได้